ชาวโซเชียลแชร์กันสนั่น หลังเจอจออัจฉริยะบนรถเมล์สาย 77 ซึ่งเป็นจอแสดงชื่อป้ายรถเมล์แต่ละป้ายให้ผู้โดยสายเตรียมตัวก่อนถึงที่หมาย และก่อนที่จะถึงป้ายโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ จอแสดงผลก็ขึ้นว่า ‘โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์’ ก่อนจะขึ้นต่อเป็นเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษว่า ‘ropchut sen lui’
ซึ่งคำแปลนี้ ทำเอาเหล่าผู้โดยสารบนรถงงกันไปหมด และได้แต่สงสัยว่า ropchut นี้ คืออะไรกัน หลายคนก็ชักโทรศัพท์ขึ้นมาถ่าย และโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย
โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา เฟซบุ๊ก Sikarin Chongbhitaksawat ได้ออกมาเฉลยข้อข้องใจนี้ ว่า ropchut นี้มาจาก รพ และ จุด (รพ.) ตัวแปลภาษาอัตโนมัติจึงตีความหมายออกมาผิดว่าเป็น ropchut นั่นเอง อีกทั้งคำว่า เซนต์หลุยส์ ก็ยังสะกดผิดจากคำว่า St.Louis หรือ Saint Louis เป็น Sen Lui
นอกจากนี้ ยังมีชาวโซเชียลเข้ามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์คล้ายๆ กันที่เกิดขึ้นกับป้ายอัจฉริยะนี้ ในจุดอื่นๆ เช่น ป้ายตรงข้ามมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร แต่ภาษาอังกฤษกลับขึ้นว่า ‘Throngkham mahawittayalai mosowo prasan mit’ หรือแม้แต่ที่ป้ายโรงเรียนหอวัง ที่ภาษาอังกฤษขึ้นว่า ‘Rongrien Hor Wang’ ซึ่งเป็นการเขียนที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นภาษาคาราโอเกะเลยทีเดียว บางคนได้นำคำเหล่านี้ไปลองแปลใน Google Translate ก็พบว่าแปลออกมาได้ถูกต้อง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าอาย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจะมาแก้ไข
วานนี้ (15 ส.ค.) มีรายงานว่า น.ส.ชุติตา (สงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี ชาว ต.แม่พริก อ.แม่สลวย จ.เชียงราย ได้ออกมาแฉอดีตพระรูปหนึ่ง ที่จริงๆ แล้วมีศักดิ์เป็นพี่ชายต่างมารดา และยังเป็นอดีตเจ้าของสำนักปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ อ.เมืองอุตรดิตถ์
โดยน.ส.ชุติตา เล่าว่า ในปี 2550 ตนมาอาศัยอยู่กับพี่ชายคนนี้ซึ่งขณะนั้นเป็นพระ ที่สำนักปฏิบัติธรรมดังกล่าว เพื่อมาดูแลพี่ชาย และก็ทำหน้าที่คล้ายเด็กวัดคนหนึ่ง ต่อมามีอาการคล้ายกระดูกทับเส้น พระพี่จึงแนะว่าต้องฝึกจิตด้วยการหลับตาจับมะเขือยาวแช่เย็น เพื่อศึกษารูปร่างลักษณะ
จากนั้นก็ให้ตนแก้ผ้าต่อหน้า และต่อมาก็ให้ฝึกจิตด้วยการเสพเมถุนกัน ต่อเนื่องเป็นเวลาถึง 3 ปี โดยตนอยู่อย่างหวานอมขมกลืน ทำอะไรไม่ได้แม้รู้ว่าบาป แต่ก็เก็บไว้เพราะกลัวพี่จะเสียหาย และกลัวพุทธศาสนาจะเสื่อมเสีย นอกจากนี้ ยังเผยว่า ตลอดเวลา 3 ปีนั้น พระพี่ยังเสพเมถุนกับสาวใหญ่อีกรายหนึ่งด้วย
จนกระทั่งเมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา พ่อของตนเกิดทราบเรื่องและเดินทางมาพบพี่ชาย แต่ก็พบว่าพระพี่ลาสิกขาบทไปแล้ว โดยครอบครัวตนไม่ยอม และได้นำเรื่องนี้ไปร้องที่ศูนย์ดำรงธรรม จ.อุตรดิตถ์ แต่เจ้าหน้าที่ไม่ยอมรับเรื่อง ดีที่ตอนนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ ได้รับเรื่องนี้ไว้แล้ว และได้มีคำสั่งให้หน่วยงานด้านพุทธศาสนาดำเนินการแล้ว
ตำรวจตั้งรางวัลนำจับเด็กแว้น เผยได้ผล สถิติแว้นลดลง
วันนี้ (15 ส.ค.) พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มีกรประชุมหารือเรื่องการตั้งรางวัลนำจับแก่ประชาชนที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับแก๊งเด็กแว้น ไม่ว่าจะเป็นคลิปวีดีโอ กล้องหน้ารถยนต์ การโทรแจ้งทางโทรศัพท์ ที่สายด่วนหมายเลข 191 หรือ หมายเลข 1599 และช่องทางเพจ ‘ศูนย์โซเชียลมีเดีย ศปก.ตร.’ ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาการให้รางวัล และคาดว่าภายในเดือน ก.ย.นี้จะเริ่มดำเนินการได้
เงินรางวัลนี้ จะนำมาจากเงินจากกองทุนสืบสวน และจากกองทุนต่างๆของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่หากพบว่ามีการแจ้งข้อมูลเท็จก็จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายเช่นกัน ซึ่งซึ่งมีอัตราโทษจำคุก 1 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท
นอกจากนี้ ทางตำรวจจะเก็บรักษาข้อมูลของผู้แจ้งเป็นความลับอย่างดี ไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวของผู้แจ้งหลุดออกไป เพื่อความปลอดภัย โดยช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมานี้ ปกติแล้ว ที่ผ่านมาจะมีกลุ่มเด็กแว้นออกแข่งรถ แต่กลับพบว่าในพื้นที่กทม.มีการร้องเรียนเรื่องนี้น้อยลง อย่างไรก็ตาม ในจังหวัดใหญ่ๆ อย่าง นครราชศรีมา และชัยภูมิ ยังมีการร้องเรียนและจับกุมมากอยู่
พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ ได้สั่งการทุกพื้นที่ว่าห้ามปกปิดเหตุเพื่อหวังให้ยอดจับกุมลดลงเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการวางมาตรการแก้ไขและป้องกัน และจะมีการส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบเรื่องสถิตินี้ในแต่ละพื้นที่ ด้านภาพรวมในการดำเนินการนั้น พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ เผยว่า ช่วงแรกคือตั้งแต่ 27 ก.ค. – 1 ส.ค. สามารถจับกุมได้ 46,659 ราย ทั่วประเทศ ส่วนช่วงที่สองคือ วันที่ 2 – 11 ส.ค. สามารถจับกุมได้ 12,082 ราย ทั่วประเทศ ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีจำนวนผู้กระทำความผิดลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตามตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2562 ระบบ จะสามารถพร้อมใช้งานได้เต็มรูปแบบทั่วประเทศ ณ จุดตรวจคัดกรองผู้โดยสารทั่วประเทศ ด่านบก ด่านทางน้ำ ท่าอากาศยาน เพื่อเป็นการคัดกรองบุคคล ป้องกันการใช้หนังสือเดินทางปลอม การเปลี่ยนชื่อ และในรูปแบบอื่นๆ ซึ่งถือเป็นก้าวแรก ในการตรวจคัดกรองบุคคลที่เดินทางเข้า-ออก ประเทศไทย ให้เป็นมาตรฐานสากลกับประเทศอื่นทั่วโลก โดยประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ 5 ในอาเซียนที่นำระบบ Biometrics มาใช้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน นักท่องเที่ยว นักลงทุน